FTA > UPDATE
|
เขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หรือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA)
|
FTA เป็นความตกลงระหว่าง 2 ประเทศขึ้นไป หรือเป็นการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุดหรือลดภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการค้าเสรีระหว่างกันภายในกลุ่ม และปัจจุบันประเทศต่างๆ ก็ได้ขยายขอบเขตของ FTA ให้ครอบคลุมการค้าด้านบริการ อาทิ บริการท่องเที่ยว การรักษาพยาบาล การสื่อสาร การขนส่ง ฯลฯ พร้อมกับความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การลงทุน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและการอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วย
|
การจัดทำ FTA ของไทย
|
ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดทำ FTA กับ 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บาห์เรน เปรู และ 2 กลุ่มเศรษฐกิจ ASEAN และ BIMSTEC โดยเหตุผลสำคัญเพื่อรักษาสถานภาพและศักยภาพในการส่งออกของไทยโดยการขยายโอกาสในการส่งออกและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยทั้งในตลาดสำคัญในปัจจุบัน (เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อาเซียน) ตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ (เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ BIMSTEC) และประเทศที่จะเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาค (Gateway) อื่นๆ ของโลก (เช่น บาห์เรน เปรู) นอกจากนี้ไทยยังอยู่ระหว่างการศึกษาเจรจา FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) รวมทั้งการศึกษาการเจรจาในกรอบของ ASEAN-EU, ASEAN-เกาหลี, ASEAN+3 และ ASEA+6 ซึ่งจะทยอยมีผลบังคับใช้ต่อไป
|
สาระในการจัดทำ FTA ของไทยฉบับสำคัญๆ และสถานะการเจรจาล่าสุด
|
• ไทยกับญี่ปุ่น ได้ร่วมกันศึกษาหารือความเป็นไปได้ในการทำ FTA ไทย-ญี่ปุ่น มาตั้งแต่ปี 2545 เริ่มการเจรจาในปี 2547 ครอบคลุมทั้งการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือในสาขาต่างๆ และได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ร่วมกันในปี 2550 และมีผลบังคับใช้แล้ว นอกจากนั้นไทยยังได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ภายใต้กรอบ ASEAN-ญี่ปุ่นด้วยเมื่อปี 2551 และมีผลบังคับใช้แล้วเช่นกัน
|
• ไทยกับจีน ได้ลงนามกรอบความตกลง FTA แล้ว ภายใต้ในกรอบความตกลง ASEAN -จีน โดยยกเลิกภาษีระหว่างกันก่อน (Early Harvest) ในสินค้าในพิกัด 07-08 (ผักและผลไม้) ในปี 2546 และลดภาษีสินค้าในพิกัด 01-08 (ได้แก่ สัตว์มีชีวิต ประมง ธัญพืช ผักและผลไม้) ในปี 2547 ให้เหลือ 0% ในปี 2549 ส่วนสินค้าที่เหลือรวมทั้งการค้าบริการ การลงทุน และกฎระเบียบต่างๆได้เจรจาแล้วเสร็จในปี 2547 โดยจะมีผลสำหรับสินค้าทั่วไปในปี 2553 สินค้าอ่อนไหว ปี 2555-2561 สินค้าอ่อนไหวสูงจะคงไว้ถึงปี 2558 จึงจะลดภาษีมาอยู่ที่ไม่เกิน 50%
|
• ไทยกับอินเดีย ได้ลงนามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย ในปี 2546 ซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และการลดอุปสรรค โดยยกเลิกภาษีระหว่างกันก่อน Early Harvest 82 รายการ ตั้งแต่ปี 2547 ให้เหลือ 0% ในปี 2549 และดำเนินการเจรจาลดภาษีรายการอื่นๆ ต่อไป (สินค้าที่เหลือบริการและการลงทุน) และมีการจัดทำภายใต้กรอบความตกลง ASEAN-อินเดีย ในปี 2550 โดยมีเป้าหมายลดภาษีสินค้าส่วนใหญ่เป็น 0% ภายในปี 2554 และช้าสุดภายในปี 2558
|
• ไทยกับออสเตรเลีย ได้ลงนามความตกลง FTA ในปี 2547 และมีผลบังคับใช้แล้วในปี 2548 โดยออสเตรเลียลดภาษีเหลือ 0% ประมาณ 83% ของรายการสินค้า ตั้งแต่ปี 2548 ส่วนที่เหลือจะทยอยลดภาษีเหลือ 0% ภายในปี 2553 และ 2558 ส่วนไทยลดภาษีเหลือ 0% ประมาณ 49% ของรายการสินค้า ตั้งแต่ปี 2548 ส่วนที่เหลือจะทยอยลดภาษีเหลือ 0% ภายในปี 2553 สำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมบางรายการที่มีความอ่อนไหว จะทยอยลดเหลือ 0% ภายใน 10 15 และ 20 ปี โดยมีมาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguards) สำหรับสินค้าบางรายการ นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ASEAN-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ตั้งแต่ปี 2547 และได้ลงนามไปแล้วในปี 2552
|
ผลกระทบที่ได้รับและประโยชน์ที่ควรเกิดขึ้นจาก FTA ของไทยโดยรวม
|
• มุมมองต่อผู้บริโภค
|
• FTA จะทำให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าลดต่ำหรือเป็น 0 ในที่สุด ซึ่งควรจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลง ถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนทางอ้อม และช่วยเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศให้มากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้านำเข้าได้เป็นจำนวนมากขึ้น และราคาที่ต่ำลง นอกจากนี้ การลดภาษีนำเข้ายังช่วยกดดันให้ราคาสินค้าชนิดเดียวกันหรือสินค้าที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ที่ผลิตในประเทศลดราคาลงด้วย อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้เกิดการแข่งขันภายในประเทศมากขึ้นด้วย
|
• มุมมองต่อผู้ผลิต
|
• FTA จะเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดให้แก่ผู้ผลิตที่เป็นผู้ส่งออก เนื่องจากภาษีนำเข้าของประเทศคู่สัญญา FTA ลดลง ผู้ผลิตส่วนหนึ่งจะสามารถผลิตและส่งออกสินค้าได้มากขึ้น เพราะประเทศเหล่านี้จะมีความต้องการสินค้าและนำเข้ามากขึ้น สินค้าบางอย่างที่ไม่เคยส่งออก เนื่องจากต่างชาติตั้งกำแพงภาษี ก็จะเริ่มส่งออกและขยายตลาดได้มากขึ้น
|
• ผู้ผลิตอีกกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จาก FTA คือ ผู้ผลิตกลุ่มที่มีการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องยนต์ เครื่องจักร เข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า FTA จะช่วยลดภาระภาษีนำเข้าให้ผู้ผลิตที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสินค้า ทำให้สามารถลดต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ผลิตสามารถนำเข้าได้จากหลายแหล่งมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง ถือเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้แก่ผู้ผลิต
|
• อย่างไรก็ดี จะมีผู้ผลิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในทางลบจากการเปิดเสรีคือกลุ่มของผู้ผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศ ซึ่งจะต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่ราคาถูกลงและกลุ่มผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศในระดับต่ำ ทำให้ต้องมีการปรับตัวรับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพและมาตรฐานการผลิต ตลอดจนจะเกิดต้นทุนในการปรับตัว (Adjustment Cost) เนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่สาขาที่ไทยมีความพร้อม/ได้เปรียบและในกรณีที่ไม่สามารถแข่งขันได้สินค้านี้จำเป็นต้องออกจากธุรกิจไปและหันไปผลิตสินค้าอื่นแทน
|
ที่มา : ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์
|